ช่วงเวลาอันแสนวิเศษของนักแสดงคิมโกอึน ในปี 2024

Kim Go Eun Thailand Fan Club
3 min readFeb 10, 2025

--

บทสัมภาษณ์นักแสดงคิมโกอึนจากนิตยสาร W Korea มกราคม 2025 หลังได้รับรางวัลบนเวที Blue Dragon Film Awards

W Korea

ตอนเด็กคิดว่าถ้า ‘แค่’ ได้แสดง เท่านั้นก็คงดีมากแล้ว พอได้ลองเป็นนักแสดงก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายนอกเหนือจากแค่การแสดง

ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้เป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์ที่มีผู้ชมถึงสิบล้านคนเลย ดังนั้นมันจึงเป็นช่วงเวลาที่น่ามหัศจรรย์สำหรับฉัน และมันคือผลงานที่สร้างปาฏิหาริย์นั้นขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคะแนนหรืออะไรก็ตาม การที่ผู้ชมมากมายมาชมภาพยนตร์ที่ฉันแสดงนั้นมีความหมายที่ยิ่งใหญ่มากค่ะ

W Korea

เราแอบคิดว่าคงไม่ได้เจอคุณที่กองถ่าย W Korea วันนี้ได้แล้วค่ะ เพราะพวกเขาไม่น่าปล่อยผู้ชนะรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในงานเลี้ยงหลังงานประกาศรางวัล Blue Dragon Film Awards เมื่อวานนี้กลับบ้านไปได้ง่ายแน่ ๆ

คิมโกอึน: 555 ใกล้จะสิ้นปีแล้ว และทุกคนก็ยุ่งกันมาก เลยไม่มีงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการค่ะ หลังจากจบงานประกาศรางวัล ก็แค่นัดรวมตัวกันกับพวกเพื่อนและจัดงานฉลองเล็กน้อยเท่านั้นค่ะ

ในปี 2012 ได้รับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจาก Blue Dragon Film Awards สำหรับบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง A Muse และ 12 ปีต่อมา ได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่อง Exhuma รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเร็วมากราวกับว่ากำลังกรอม้วนฟิล์มเลยค่ะ

ทำให้นึกถึงวันนั้น ตอนที่ได้รับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม ฉันให้สัญญากับตัวเองว่า “เรื่องดี ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก ดังนั้นเมื่อเจอช่วงเวลาที่ยากลำบาก ให้มาดูรางวัลนี้แล้วสร้างความแข็งแกร่งเพื่ออดทนกับมันเถอะ” จริง ๆ แล้วเมื่อวานก็คิดเหมือนกันนะคะ แต่ที่แน่เลยคือคิดว่า ‘ดีใจจังที่ได้อยู่ตรงนี้’ ค่ะ

“ฉันรักการแสดงมากค่ะ” ตอนที่พูดประโยคนี้ในคำกล่าวหลังได้รับรางวัล ดูประหม่ามากเลยนะคะ

ยิ่งได้แสดงมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกแบบนั้นมากขึ้นเท่านั้นค่ะ ตอนเด็กคิดว่าถ้า ‘แค่’ ได้แสดง เท่านั้นก็คงดีมากแล้ว พอได้ลองเป็นนักแสดงก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายนอกเหนือจากแค่การแสดง ตอนเด็กอะไร ๆ ก็ดูหนักมากไปซะหมดเลยค่ะ คนอายุยี่สิบกว่าที่พุ่งชนนู่นนี่นั่น ผ่านการลองผิดลองถูกมานับไม่ถ้วน พอเวลาผ่านไปก็พบวิธีเอาชนะปัญหาในแบบของฉันเอง ได้ตระหนักถึงคุณค่าของอาชีพนี้ การแสดงเป็นเรื่องที่ฉันชอบมาตลอดและพบว่ายากอยู่เสมอ นั่นคืออาชีพของฉัน ตอนนี้ต้องขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างค่ะ

W Korea

มีอีกฉากหนึ่งที่ดึงความสนใจในงานประกาศรางวัล Blue Dragon Film Awards ในปีนี้ ผู้กำกับจางแจฮยอน ซึ่งได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ Exhuma พูดพลางน้ำตาคลอว่า “ผมดีใจที่คุณ (คิมโกอึน) เป็นนักแสดงเกาหลี”

เขาคงพูดไปแบบนั้น เพราะถ้าฉันเป็นนักแสดงต่างประเทศคงยากที่จะแคสติ้ง และเราคงไม่สามารถสื่อสารกันได้ค่ะ… (หัวเราะ)

จะปล่อยผ่านไปง่าย ๆ อย่างงี้เหรอคะ แต่ตอนนั้นดวงตาของคุณคิมโกอึนที่อยู่เบื้องหลังจอก็เต็มไปด้วยน้ำตาเลยนะคะ…(หัวเราะ)

5555 อย่างนั้นเหรอคะ รู้สึกขอบคุณมาก ๆ เราไม่ได้จริงจังกันเลย จนถึงตอนนี้เรายังไม่เคยชมกันอย่างเปิดเผยมาก่อน ภาพยนตร์ Exhuma เป็นกองที่สนุกสนานและหัวเราะกันเสมอ ฉันคิดว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์แบบนั้นเอง พอผู้กำกับขึ้นไปบนแท่นรับรางวัล คำพูดของผู้กำกับก็เลยประทับใจมากค่ะ

ผู้กำกับจางแจฮยอนรู้สึกดีใจที่คุณคิมโกอึนเป็นนักแสดงเกาหลี ถ้าอย่างนั้นคุณคิมโกอึนรู้สึกอย่างไรคะ

ผู้กำกับเป็นคนที่น่ารักมาก รุ่นพี่ในกองถ่ายทุกคนต่างก็ชอบผู้กำกับกันหมดค่ะ แต่พอเขาเริ่มกำกับจริง ๆ เขาเป็นคนที่แสดงให้เห็นถึงความพากเพียรที่ไม่มีใครเทียบได้ มีหลายครั้งมากที่ฉันรู้สึกว่า ‘อ๋อ คนคนนี้กำลังทำให้สิ่งที่เขาคิดในหัวเป็นจริงขึ้นมานี่เอง’ พอได้เห็นแบบนั้นก็ยิ่งเชื่อใจผู้กำกับค่ะ ภาพยนตร์ Exhuma เป็นผลงานที่เราทั้งจริงจังและหัวเราะไปพร้อม ๆ กัน แต่ฉันคิดว่าเราสามารถทำงานด้วยเสียงหัวเราะแบบนั้นได้ เพราะเราเชื่อมั่นไว้วางใจซึ่งกันและกันค่ะ

W Korea

อันที่จริงแล้วในฐานะผู้ชม ก่อนภาพยนตร์เข้าฉายฉันไม่ได้นึกถึงคิมโกอึนใน Exhuma หรือ Exhuma ของคิมโกอึนเลย แทบจะนึกภาพไม่ออกถึงร่างทรงเหนือธรรมชาติในใบหน้าที่สดใสของคิมโกอึน เมื่อมองย้อนกลับไป อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณสนใจผลงาน Exhuma นอกจากความเชื่อมั่นผู้กำกับคะ?

จริง ๆ แล้วเวลาเลือกผลงานฉันไม่ได้มีการตัดสินใจที่ใหญ่โตหรือให้ความหมายพิเศษอะไรมากนัก สิ่งแรกที่คิดคือ ‘ฉันทำได้ไหมนะ’ และไม่ค่อยคิดว่า ‘ทำไม่ได้หรอก’ สไตล์ของฉันคือแบบนี้ เมื่อมีผลงานชิ้นไหนเข้ามาหาฉัน ก็จะคิดถึงทิศทางและวิธีการที่จะสร้างสรรค์มันขึ้นมาได้เท่านั้น ดังนั้นความรู้สึกท้าทายที่ยิ่งใหญ่หรือความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้เป็นตัวขับเคลื่อนฉันค่ะ เช่นเดียวกันกับ Exhuma ฉันมีความสุขมากที่จะสามารถแสดงออกถึงคาแรคเตอร์ที่แตกต่างจากที่ผ่านมาได้ และในที่สุดแล้ว ฉันรู้สึกว่ามันน่าจะสนุกค่ะ

เมื่อพบกับผลงานที่น่าสนใจ คุณมักจะไม่คิดมากใช่ไหม?

ค่ะ แน่นอนว่าตอนเดบิวต์แรก ๆ ถ้ามีโปรเจ็กต์กับนักแสดงรุ่นพี่ที่จะได้เรียนรู้อะไรได้เยอะก็อยากทำบ้างค่ะ ตอนนั้นยังไม่ค่อยรู้อะไรมากเท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าตัวเองได้บทใหญ่เลย คิดว่าอยากย่นเวลาเรียนของตัวเองให้สั้นลง แต่ตอนนั้นสิ่งทำได้คือแค่ดูรุ่นพี่เท่านั้นเองค่ะ

ตัวอย่างเช่น คุณอยากให้ตัวเองอยู่ในฉากที่มีนักแสดงรุ่นพี่อย่างยุนยอจองในภาพยนตร์เรื่อง Canola จอนโดยอนใน Memories of the Sword และคิมฮเยซูใน Chinatown ใช่ไหม

แน่นอนค่ะ เมื่อเวลาผ่านไปและยังคงรู้สึกสับสนในกองถ่าย ก็คิดว่า “ถ้าเป็นรุ่นพี่จะทำยังไงกันนะ” ตอนเด็ก ๆ ฉันได้เรียนรู้ว่ารุ่นพี่ทำอะไรและจับสังเกตพวกเขาทีละคน และตอนนี้ฉันอยู่ในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งของรุ่นพี่ในตอนนั้น ในช่วงนี้ฉันคิดบ่อยมากว่า “ฉันต้องมีสติให้ดี” เพราะเมื่อเวลาผ่านไปดูเหมือนว่ามันจะยากขึ้นเรื่อย ๆ ที่จะได้ยินความคิดเห็นที่ดีหรือไม่ดีเกี่ยวกับการแสดงของตัวเองในกองถ่าย เดาว่านั่นเป็นเพราะตำแหน่งของฉันเปลี่ยนไป และความคาดหวังจากฉันก็เปลี่ยนไปด้วย ถ้าเวลาที่แสดงความคิดเห็นบางอย่าง บางครั้งก็หวังว่าจะมีคนโต้แย้งบ้าง แต่พอนึกไปว่าอาจจะทำแบบนั้นไม่ได้อีกต่อไป จะบอกว่าไงดี คือมันจะกลายเป็นความรู้สึกกังวลหรือว่าเหงาค่ะ และทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นก็จะพลอยทำให้นึกถึงรุ่นพี่อีกครั้ง เพราะพวกเขาก็ต้องผ่านกระบวนการนี้มาเช่นกัน ฉันสงสัยว่าพวกเขาทำได้อย่างไรกันนะคะ

ถ้าตอนเดบิวต์แรก ๆ คุณเลือกผลงานตาม‘คน’ล่ะก็ ตอนนี้เวลาผ่านไปแล้วก็น่าจะเลือกตาม‘เรื่องราว’มากกว่า คิดว่าเรื่องราวที่คุณสนใจมีอะไรที่เหมือนกันบ้างคะ?

ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะคะ ฉันเป็นคนที่ไม่มีความชอบหรือไม่ชอบอะไรชัดเจน ถ้าเป็นเรื่องราวที่เขียนได้ดีและทำให้ประทับใจได้ ฉันก็ถือว่ามันเป็นเรื่องราวที่ดีทั้งหมด ถ้ามันเป็นเรื่องราวที่ดีและมีตัวละครที่ดี ฉันก็ไม่สนใจว่ามันจะเป็นอะไรเลยค่ะ

W Korea

การยึดติดหรือจำกัดตัวเองเป็นสิ่งที่คุณกังวล?

ฉันไม่ชอบเลย มันน่าเบื่อค่ะ ถ้าผลงานชิ้นหนึ่งประสบความสำเร็จ ผลงานที่คล้ายกันก็จะตามมาค่ะ แต่บางทีนั่นคงเป็นเรื่องธรรมดา อาจเป็นเพราะฉันไม่สามารถแสดงความหลากหลายได้มากพอ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันจึงพยายามที่จะนำเสนอความแตกต่างแม้จะเป็นผลงานหรือตัวละครที่คล้ายกันก็ตาม พอสะสมมากขึ้น คุณจะเห็นภาพบางอย่างผ่านตัวฉันและทุกคนจะค้นพบว่า ‘อ้อ มีดีเทลแบบนี้ด้วยเหรอ?’

ฉันเป็นคนที่ให้ความสำคัญมากกับเรื่องการไม่หยุดทำงาน การเลือกที่จะไม่หยุดทำงานในช่วงเวลาที่สำคัญนั้น ตอนนี้ก็คิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องค่ะ ต่อให้คิดว่าตัวเองไม่อยากยึดติดแต่เราก็ไม่สามารถทำแต่อะไรดี ๆ ได้นี่คะ ยังไงก็ตาม ถ้าลองทำไปเรื่อย ๆ ฉันมั่นใจว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้จากในนั้นก็คือการที่ได้เติบโตขึ้นค่ะ ฉันเองก็เคยมีช่วงเวลา 3–4 ปีที่คิดว่า ‘ทำไมถึงได้รับแต่บทแบบนี้?’ แต่ตอนนี้รู้แล้วค่ะว่าฉันต้องเปิดโอกาสให้กับตัวเอง

หลังจากผ่านผลงานมามากมาย ความคิดเกี่ยวกับ “การแสดงที่ดี” นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหมคะ?

ไม่รู้สิคะ… สิ่งที่ฉันคิดอยู่เสมอคือ ไม่ควรคิดมากเกินไปในกองถ่าย ฉันมักจะรอให้ความคิดต่าง ๆ หายไปอย่างรวดเร็วเมื่ออยู่ในกอง เมื่อยืนอยู่หน้ากล้องในฐานะตัวละคร ฉันกำลังพูดคำที่ไม่เคยพูดมาก่อนในชีวิต และเดินด้วยท่าทางที่ไม่เคยเดินมาก่อน ต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะเข้าถึงตัวละคร ฉันจึงต้องการลดเวลานั้นให้สั้นที่สุด ซึ่งนั่นเป็นความกังวลและเป้าหมายของฉันในทุกครั้ง เมื่อไหร่ที่ฉันสามารถพูดในฐานะตัวละครนั้นได้โดยไม่ต้องคิดอีกต่อไป และสามารถคิดตามอารมณ์ของตัวละครได้เลย มันจะรู้สึกดีมาก ๆ เลยค่ะ มีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยลดเวลาในการเข้าถึงตัวละครไหม? อย่างแรกคือ พยายามไม่พกพาความกังวลใด ๆ ไปยังกองถ่าย ก่อนที่จะเข้าไปในสถานที่ถ่ายทำเป็นเวลาที่นักแสดงคิมโกอึนจะคิดเกี่ยวกับตัวละคร แต่เมื่อไหร่ที่เข้าไปในกองถ่ายแล้ว ฉันต้องอยู่ในสภาพที่สามารถพูดในฐานะตัวละครได้อย่างเต็มที่ ฉันมักจะกดดันตัวเอง โดยการผลักตัวเองไปยังขอบหน้าผาที่ไม่มีที่ให้หลบหนี กดดันตัวเองเรื่อย ๆ ด้วยคำถามว่า “เธอจะทำยังไง ถ้าไม่สำเร็จจะทำยังไง” ไม่ใช่ว่าค่อย ๆ กลายเป็นคาแรคเตอร์นั้น แต่จะมีตอนที่รู้สึกว่า “อ้อ มันได้ผลแล้ว” มาอย่างกะทันหันค่ะ จากนั้นก็เริ่มมีความเชื่อมั่นว่าฉันสามารถทำได้อย่างสบายใจค่ะ

W Korea

ก่อนที่ไปถึงกองถ่ายทุกอย่างจะจริงจังมาก แต่เมื่อคุณไปถึงที่กองถ่ายกลับรู้สึกอิสระกว่าใคร ๆ จริงไหม ในการสัมภาษณ์เกือบทุกครั้ง คุณมักจะบอกว่า “คุณมีความสุขกับกองถ่าย”

ฉันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการมีความสุขในกองถ่าย อยากทำงานแบบเบา ๆ และดูสบายค่ะ เมื่อเราทำงานด้วยใจที่ผ่อนคลาย เราจะสามารถมองเห็นรายละเอียดได้มากขึ้น และมองไปข้างหน้าได้ไกลขึ้น ฉันเชื่อว่าถ้าทุกอย่างจริงจังมากเกินไป เราจะมองเห็นได้น้อยลง และอาจพลาดสิ่งสำคัญไปมากมายค่ะ

ในปี 2024 สิ่งที่ยังคงไว้อยู่สำหรับคิมโกอึนคือภาพยนตร์สองเรื่อง ได้แก่ Exhuma และ Love in the Big City ก่อนอื่นเลย Exhuma ได้สร้างความสำเร็จเป็นภาพยนตร์แนวลึกลับ สยองขวัญ เรื่องแรกที่มีผู้ชมถึงสิบล้านคน นอกจากความสำเร็จของภาพยนตร์นี้แล้ว Exhuma ได้มอบอะไรให้กับคิมโกอึนบ้าง?

จริง ๆ แล้วฉันไม่เคยคาดหวังว่าจะได้เป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์ที่มีผู้ชมถึงสิบล้านคนเลย ดังนั้นมันจึงเป็นช่วงเวลาที่น่ามหัศจรรย์สำหรับฉัน และมันคือผลงานที่สร้างปาฏิหาริย์นั้นขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคะแนนหรืออะไรก็ตาม การที่ผู้ชมมากมายมาชมภาพยนตร์ที่ฉันแสดงนั้นมีความหมายที่ยิ่งใหญ่มากค่ะ Exhuma คงจะเป็นหน้าหนึ่งที่ฉันอยากหยิบขึ้นมาดูในอนาคต สำหรับฉันมันคือภาพยนตร์ที่เป็น *‘과정 (ควาจอง)’ ผลงานที่ไม่ว่าจะมองไปตรงไหนหรือเวลาไหนในอนาคตก็ได้รับความสบายใจพร้อมกับคิดว่า ‘เอาล่ะ มาทำให้ดีกันอีกครั้งเถอะ’

  • ‘과정 (ควาจอง)’ ความหมายตามพจนานุกรมคือ ขั้นตอน กระบวนการ หลักสูตร
W Korea

ความต่างระหว่าง Exhuma และ Love in the Big City น่าสนใจมากเลยค่ะ หลังจากที่มีภาพยนตร์แนวลึกลับสยองขวัญ คุณก็ได้พบกับผู้ชมด้วย Love in the Big City ซึ่งพาไปสำรวจเยาวชน อัตลักษณ์ และความรัก ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ชมในประเทศที่ไม่ค่อยมีภาพยนตร์เชิงพาณิชย์แนวเควียร์ (queer) แบบนี้ Love in the Big City เป็นผลงานที่มีอุปสรรคมากมายก่อนที่จะได้รับการผลิต แต่สุดท้ายก็สามารถเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ได้ ซึ่งได้ยินมาว่าความตั้งใจที่แน่วแน่ของคุณในการแสดงมีส่วนสำคัญในเรื่องนี้ ทำไมคุณถึงมีความจริงจังขนาดนี้ในการนำเรื่องนี้ออกสู่โลก?

อันที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรมากค่ะ ฉันคิดว่าคงน่าเสียดายถ้าไม่ได้สร้างมันขึ้นมา เพราะมันเป็นบทภาพยนตร์ที่น่าสนใจมากจริง ๆ บทที่อ่านง่ายและสนุกมีไม่มากนัก ดังนั้นมันจึงมีค่าและมีความสำคัญมาก แต่บทนี้เป็นแบบนั้นจริง ๆ และฉันคิดว่าภาพยนตร์ขนาดกลางอย่าง Love in the Big City ควรมีออกมาให้มากขึ้น ใช้เวลาประมาณสองปีครึ่งกว่าจะได้ทำหนังเรื่องนี้ และในฐานะนักแสดงสิ่งที่ฉันทำได้คือการรอคอยเท่านั้น แม้จะใช้เวลานานแต่ฉันก็บอกว่าจะทำและหวังว่าให้มันถูกผลิตออกมา และเมื่อทุกอย่างพร้อมและเซ็ตติ้งทุกอย่างเสร็จสิ้น ฉันก็แค่คิดว่า ‘ใช่ ตอนนี้เราสามารถทำได้แล้ว’ เท่านั้นเองค่ะ

Love in the Big City ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวละครหลักสองคนในช่วงวัย 20–30 ปี และบันทึกการเติบโตที่เกิดขึ้นระหว่างสองช่วงเวลา แล้วช่วงวัย 20 และ 30 ปีของคิมโกอึนแตกต่างกันอย่างไรคะ?

เมื่อก่อนฉันมักจะตำหนิตัวเองหนักมาก เข้มงวดและไม่ให้อภัยตัวเองเลยค่ะ เป็นคนพยายามฝืนไม่ให้รู้สึกถึงความยากลำบากนั้น แบบพูดกับตัวเองว่า “ลำบากอะไรเหรอ” แต่หลังจากผ่านไปหลายปี ตอนนี้ฉันเริ่มมองตัวเองมากขึ้น มองเข้าไปและรักตัวเอง รวมถึงชื่นชมบอกว่าเธอทำได้ดีแล้วในสิ่งที่ทำได้ นั่นคือสิ่งที่ฉันได้เติบโตขึ้นค่ะ

มีบทพูดหนึ่งจากเรื่อง Love in the Big City ว่า “การที่เราเป็นตัวเอง กลายเป็นจุดอ่อนของชีวิตเราไปได้ยังไง” คิมโกอึนก็มีจุดอ่อนหรือเปล่าคะ

ความคงเส้นคงวา? จริง ๆ แล้วสิ่งเดียวที่ฉันทำมาตลอดชีวิตคือการแสดงค่ะ คิดว่านั่นเลยเป็นสาเหตุที่ฉันชอบมันมาก มันคือสิ่งเดียวที่ฉันรักและอยากทำให้ดีมาตลอด ฉันไม่เคยมีความคิดที่ว่า “ถ้าทำออกมาไม่ดีล่ะจะเป็นยังไง” ขณะที่แสดงเลยค่ะ ฉันไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

คุณอยากชมตัวเองในเรื่องไหนมากที่สุด ในปี 2024 คะ

ไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ยากไปกว่าการใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างตั้งใจและขยันขันแข็ง ฉันทำงานหนักเพื่อสิ่งที่ได้รับในแต่ละวัน และหนึ่งปีก็ผ่านไปแล้ว ฉันอยากชมตัวเองที่ใช้เวลาทั้งปีโดยไม่มีอะไรต้องเสียใจหรือทำผิดพลาดอะไรเลยค่ะ

W Korea

SOURCE W Korea

หากมีส่วนไหนที่แปลผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ

แปล Kim Go Eun Thailand Fan Club

***ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาที่แปลแล้วออกไปใช้ (รวมถึงไปใช้ในเชิงพาณิชย์ทุกรูปแบบค่ะ)***

--

--

Kim Go Eun Thailand Fan Club
Kim Go Eun Thailand Fan Club

Written by Kim Go Eun Thailand Fan Club

บทความแปลไทยโดยทีมแอดมิน Kim Go Eun Thailand Fan Club รวมบทความ ข่าว ที่เกี่ยวข้องกับคิมโกอึน :: บทความแปลทั้งหมดไม่ให้นำไปใช้ก่อนได้รับอนุญาต ::

No responses yet